14.3.55

นักเล่นหุ้น วัยรุ่นเงินล้าน


เส้นทางนักเล่นหุ้น วัยรุ่นเงินล้าน
       สาวน้อยเล่นหุ้น ยุ้ย-พรพิมล รัตนประไพ นักเก็งกำไรมืออาชีพซึ่งมียอดตัวเลขรายได้จากการเล่นหุ้นถึง 7 หลักต่อเดือน และมีดีกรีเป็นถึงระดับอาจารย์ในวัยเพียงแค่ 26 ปีเท่านั้น เงินล้านจึงหาได้ไม่ยากนักสำหรับเธอที่ทุ่มเทตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา จนถึงวันนี้เธอรู้แล้วว่ามันคุ้มค่าแค่ไหนจากประสบการณ์ที่ได้ในตลาดหุ้น
      
       เส้นทางนักเล่นหุ้นเริ่มต้นตั้งแต่เธออายุ 23 ปี หลังจากเรียนจบคณะวิทยาศาสตร์ สาขาฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร และได้ทำงานอยู่ที่สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง เธอเป็นพนักงานแบงก์ได้ประมาณ 8 เดือน จึงลาออกมาเทรดหุ้น และตอนนี้ก็ยังเทรดหุ้นเรื่อยมา โดยไม่ได้ทำงานประจำอีกเลย...
      
       คิดแบบคนรวย
       “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้นคำกล่าวนี้ฝังอยู่ในหัวของนักเล่นหุ้น และเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนมืออาชีพสร้างเส้นทางรวยด้วยวิธีคิดนี้ เช่นเดียวกับสาวนักเล่นหุ้นที่ค้นหาความฝันบนถนนสายนี้เช่นกัน
      
       “ตั้งแต่เด็กเรามีความฝันอยากจะเป็นเจ้าของธุรกิจอะไรสักอย่างหนึ่ง แต่ก็มานั่งคิดว่านักธุรกิจอะไรหนอที่ไม่ต้องเจอกับคนเยอะๆ เพราะไม่ชอบเจอคนเยอะ ชอบเรียนรู้และอยู่ในโลกของตัวเอง จึงนั่งคิดมาตลอดว่าจะมีธุรกิจอะไร จนคิดได้ว่ามีการลงทุนวิธีหนึ่ง คือการเล่นหุ้น
       “การเล่นหุ้น คือการทำธุรกิจแบบหนึ่งโดยที่ไม่ต้องใช้คนเยอะ เราควบคุมตัวเราคนเดียวได้ ปกติถ้าเราทำธุรกิจทั่วไป จะต้องมีลูกน้อง เจ้านาย มีพนักงานในบริษัทซึ่งต้องดูแลคนมากมาย แต่คนเทรดหุ้นหรือคนที่ลงทุนในตลาดหุ้นฉลาดกว่านั้น เราแค่ดูบริษัทไหนมีการบริหารงานดี น่าสนใจ เราก็ไปลงทุน อันนี้เขาเรียกว่านักธุรกิจที่ไม่ต้องใช้คนเยอะ เป็นการมองภาพรวมของแต่ละบริษัทแล้วลงทุนโดยไม่มีภาระทางจิตใจผูกพัน
       แม้ว่าเธอจะเข้ามาเป็นพนักงานแบงก์ไทยพาณิชย์ ทำให้ได้ใกล้ชิดกับเรื่องเงิน แต่เธอไม่ได้มีหน้าที่หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักทรัพย์ที่จะนำไปลงทุนเลย ถึงอย่างไรแล้วการเข้ามาทำงานแบงก์ก็เป็นลู่ทางให้เธอเป็นนักเทรดหุ้นมืออาชีพอย่างเช่นทุกวันนี้
       “ถ้าวันนี้เราอยากสร้างความมั่งคั่งอะไรก็ตาม มันคงหนีไม่พ้นเรื่องเงิน แล้วเราอยากเข้าไปคลุกคลีเกี่ยวกับวงการทางการเงินเพื่อหาช่องทางที่จะไปต่อว่าอะไรที่จะไปต่อยอดในสิ่งที่เราต้องการได้ โอเค...เรารู้อยู่แล้วว่าอยากทำธุรกิจ รู้อยู่แล้วว่าอยากเล่นหุ้น แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร เมื่ออยากเริ่มต้นจึงต้องเข้าไปคลุกคลีในสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อจะซับข้อมูล
      
       รายได้ 7 หลักต่อเดือน
       ตลอดระยะเวลา 3 ปีกว่า เธอทุ่มเทกับการลงทุนในตลาดหุ้นมาตลอด เมื่อถามว่าโดยส่วนตัวคิดว่าตอนนี้ประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้นถึงระดับไหนแล้ว เธอตอบกลับมาด้วยคำคมว่า ความสำเร็จมันขึ้นอยู่กับความสุขของแต่ละคน ถ้าเทียบของยุ้ย คงเป็นระดับปานกลางมั้งค่ะ ถ้ารายได้จากการเทรด 7 หลักต่อเดือน ก็ถือว่าระดับปานกลาง (โอ้โฮ!) แต่ถ้าระดับสูงจะเป็น 8 หลักต่อเดือน แต่ของยุ้ยยังเป็น 7 หลักอยู่ เดี๋ยวรอก่อน เร็วๆ นี้ (หัวเราะ)
       ไม่ผิดถ้านักเก็งกำไร เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง ย่อมสร้างรายได้อย่างมหาศาล ถึงขนาดคิดกำไรเป็นวินาทีเลยทีเดียวในขณะที่ได้กำไรมากที่สุด แต่สาวน้อยนักเก็งกำไรของเราก็สร้างรายได้ไม่เบาแม้ว่าจะไม่ใช่รายวินาทีแบบขั้นเทพ แต่ก็รายนาทีเชียวล่ะ ใครหารายได้เร็วเท่านี้บ้างยกมือขึ้น
       “ยุ้ยเคยทำกำไรได้มากที่สุดเป็นหลักแสนรายนาที ตอนแรกที่ทำได้ รู้สึก...เฮ้ย! เราทำได้ด้วยว่ะ เพราะตอนแรกทุกคนบอกว่า คนที่ทำได้ต้องขั้นเทพ แต่ถ้าคุณจับแพตเทิร์นของหุ้นเป็น ของตลาดเป็นก็จะมีโอกาสทำกำไรได้เหมือนกัน
       ปัจจุบันนอกจากเธอจะเป็นนักเทรดหุ้นมืออาชีพแล้วยังเป็นอาจารย์ช่วยสอนหลักสูตรพ่อมดการเงินที่ บริษัท ดิสติงชั่น จำกัด อีกด้วย
      
       หลักสูตรพ่อมดการเงิน
       ยุ้ยเป็นหนึ่งในสองคนที่เริ่มก่อตั้งสถาบันหลักสูตรพ่อมดการเงิน เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่สนใจหารายได้จากการเล่นหุ้นเหมือนกันกับเธอ และอีกหนึ่งผู้ก่อตั้งซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักคือ อาจารย์ธนาธร ชูชาติพงษ์
       “ตอนแรกเรามาเทรดหุ้นกันเองจนอยู่ดีมีสุข แล้วมีเพื่อนๆ บอกว่าทำไมพวกแกอยู่แต่ในบ้านกัน แล้วชีวิตดูมีความสุขอย่างนี้ ใช้ชีวิตแบบสบายมาก ไม่ต้องวิตกกังวลเหมือนคนอื่นเขาก็เลยถามว่าเราทำอะไร อ่อ... เราเทรดหุ้นนะ จึงจุดประกายขึ้นมาว่ามันไม่มีโรงเรียนไหนสอนเล่นหุ้นเลย
       “คนที่สนใจอยากเล่นหุ้นมีเยอะนะ แต่ว่าวันนี้ไม่มีใครอยากลองผิดแล้ว อยากลองถูกแล้วลุยเลย คนที่เข้ามาเรียน 80% เป็นคนที่ไม่มีความรู้เรื่องหุ้น แล้วถ้าไปเทรดหุ้นโดยไม่มีความรู้จะเกิดอะไรขึ้น จึงอยากให้คนรู้เรื่องการลงทุนแบบพ่อมด แบบมืออาชีพ ทำยังไงถึงทำกำไรได้ง่ายที่สุด เร็วที่สุด ปลอดภัยที่สุด และมีความเสี่ยงต่ำที่สุดสิ่งเหล่านี้เธอเชื่อว่าในมหาวิทยาลัย หรือระบบการศึกษาที่ไหนก็ไม่มีสอน
       นักเรียนทุกคนต้องผ่านระบบการเรียน การติวและการสอบ ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน ผลลัพธ์ที่ได้คือสามารถหาเงินได้ตลอดทั้งชีวิต สำหรับหน้าที่ของอาจารย์ คือทำอย่างไรให้นักเรียนทำกำไรได้ ส่วนหน้าที่ของนักเรียน คือทำอย่างไรให้ได้เป้าหมายตามที่ตัวเองต้องการ
       “นักเรียนที่นี่เป็นแม่ค้าขายเนื้ออยู่ที่ตลาดก็มี รปภ.จบ ป.4ยังมีเลย ส่วนคนที่มีการศึกษาหน่อยมีตั้งแต่ ป.ตรีจนถึงด็อกเตอร์ นักเรียนที่มาเรียนอายุน้อยสุด 12 ปีนะ อายุมากสุดประมาณ 65 ปีได้ ทุกคนสามารถทำได้หมด อย่างเด็ก ม.1 ที่อายุน้อยสุด ตอนนี้ก็สามารถหาเงินเองได้แล้ว
      
       สิ่งสำคัญที่นักเล่นหุ้นต้องมี
       “เงินไม่ใช่ปัจจัยหลักในตลาดหุ้น ความรู้ต่างหากที่ต้องมีถ้าวันนี้ตั้งใจจะลงทุน ควรสำรวจตัวเองก่อนว่าคุณมีความรู้เกี่ยวกับหุ้นมากพอหรือยัง เราต้องหาความรู้ก่อนเมื่อไม่มีความรู้ จึงไม่สมควรที่จะลงทุน
       อาจารย์ยุ้ยพูดถึงหนังสือเล่มโปรดที่เธอชอบเป็นพิเศษ ชื่อว่า เงินสี่ด้านของ โรเบิร์ต คิโยซากิ เขาบอกว่า สิ่งที่คนชอบมากที่สุด คือการเป็นนักลงทุน ใช้เงินทำงานแทน แต่ทุกคนจะถูกหลอกเสมอว่าคุณต้องเป็นพนักงานประจำก่อน แล้วค่อยเป็นเจ้าของธุรกิจ ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ ทุกอย่างมัน
       เริ่มต้นได้ที่การลงทุน โดยการใช้เงินไปต่อเงิน ทุกคนอาจคิดว่าต้องรอมีเงินมากๆ ไม่ว่าคุณจะมีเงินหลักพัน หลักแสน หลักล้านไม่ได้สำคัญ สำคัญที่คุณมีความรู้รึเปล่า
       เริ่มลงทุนหลักพันคุณทำได้ ต่อให้คุณมีเงินเป็นร้อย เป็นพันล้าน ถ้าคุณไม่มีความรู้ มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอก สิ่งสำคัญที่สุด ถ้าคุณไม่มีความรู้ก็อย่าเอาเงินไปเททิ้ง
       เมื่อมีความรู้แล้ว สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก่อนที่จะเป็นนักลงทุนได้คือ การปล่อยวางความกลัว และสร้างความกล้าหาญให้แก่ตัวเอง หลายคนอาจคิดว่าตลาดหุ้นเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงสูง ฉะนั้นเราต้องศึกษาว่าตัวเองกลัวอะไร กลัวเพราะไม่รู้ใช่ไหม เมื่อไม่รู้ต้องทำให้รู้แล้วเราก็จะไม่กลัวมัน เราต้องเดินหน้าและสร้างความกล้าหาญที่จะฝึกทำสิ่งใหม่ๆ เพื่อเอาชนะและก้าวข้ามความกลัวไปให้ได้
      
       ขั้นตอนทำกำไรแบบมืออาชีพ
       เมื่อขจัดความกลัว และสร้างพลังให้แก่ตัวเองได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือคุณต้องวิเคราะห์การลงทุนในตลาดว่าตลาดไหนสร้างผลประโยชน์ให้เราได้มากที่สุด ถ้าเราไม่รู้ว่าเมื่อลงทุนแล้วจะคุ้มค่ากับสิ่งที่ลงทุนไปไหม มันย่อมไม่ดี
       สิ่งที่เราต้องวิเคราะห์เพื่อเริ่มการลงทุน คือ 1.ตลาด ตลาดหลักทรัพย์มีทั่วโลกเลย แล้วตลาดไหนดี 2.การทำกำไร ต้องใช้กลยุทธ์ในการทำกำไรแบบไหน เราจะป้องกันความเสี่ยงในการทำกำไรได้อย่างไร และ 3.จากนั้นเราจะมีการวางแผนจัดการทางด้านการเงินอย่างไรให้ทำกำไรได้ดีที่สุด ซึ่งทุกอย่างล้วนมีขั้นตอนทั้งหมด
       “ส่วนใหญ่คนที่มาเรียน เขาอยากรู้ว่าการเริ่มนับ 1 ต้องทำยังไงถ้านับ 1 ได้ 2 3 4 5...มันก็ไม่ได้เป็นปัญหา ถ้ายังไม่มีความรู้พื้นฐาน จึงต้องสอนตั้งแต่เริ่มต้น หุ้นคืออะไร ตลาดหุ้นมีอะไรบ้าง แล้วเราจะมาดูว่านักเรียนแต่ละคนเหมาะกับการเป็นนักเก็งกำไรมืออาชีพ หรือเหมาะที่จะเป็นนักลงทุนมืออาชีพ
       “นักเก็งกำไรมืออาชีพ คือคนที่แสวงหาโอกาส เมื่อมีโอกาสมีอีเวนต์ต่างๆ เข้ามา ปกติเราจะลงทุนโดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน และการดูกราฟ สองสิ่งนี้บ้านเราใช้มานานแล้ว อย่าง จอร์จ โซรอส นักเก็งกำไรระดับโลก เขาจะมองหาโอกาส อีเวนต์หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในการทำกำไร เช่น ที่ผ่านมาเกิดหุ้นร่วงหนักๆ แสดงว่าสภาวะเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ทองขึ้นเพราะอะไร ทุกอย่างเขาเรียกว่าเหตุการณ์ทั้งหมด ถ้าเราจับเหตุการณ์พวกนี้ได้ เราสามารถใช้เงินแค่นิดเดียว สร้างเงินได้อย่างมหาศาล นี่แหละเรียกว่านักเก็งกำไร
       เมื่อมีโอกาสสามารถทำเงินได้มากมายมหาศาล ถ้าจับจังหวะตลาดได้ด้วยความรู้อย่างมืออาชีพจริง และถ้าวันนี้สามารถสร้างเงินได้มากที่สุด แต่ถ้าบริหารความเสี่ยงไม่เป็นก็ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นการทำกำไรจึงเป็นความท้าทายของนักเล่นหุ้นมืออาชีพ
       
       ตลาดหุ้น ตปท. กำไรสูง ความเสี่ยงต่ำ
       “ง่ายที่สุด ปลอดภัยที่สุด และสร้างผลตอบแทนได้มากที่สุดเป็นประเด็นหลักให้เธอตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ ซึ่งมีข้อดีหลายปัจจัยที่นักลงทุนหลายคนมองข้าม
       “ถ้าการลงทุนในตลาดทั่วๆ ไป เขาจะมีการกำหนดจุดทำกำไรต่างๆ ไว้ เช่น ทำกำไรสูงสุดต่อวันได้ 30% นะ แต่ในอเมริกาเขาไม่จำกัดเพดานกำไร สามารถทำกำไรได้สูงสุดเท่าที่ศักยภาพที่คุณมี และมีข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือ ตลาดหุ้นในต่างประเทศมี Stop loss คือการตัดขาดทุนแบบอัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องนั่งเฝ้า เช่น คุณลงทุนไป 100 บาทแล้วบอกว่าสามารถรับความเสี่ยงได้ 10 บาท คุณซื้อหุ้นที่ 100 ตั้ง Stop loss ที่ 90 เลย ถ้าหุ้นตกมาถึง 90 ปุ๊บ ระบบจะออโตรันตัดขาดทุนอัตโนมัติทันที ทำให้เราสามารถจำกัดการขาดทุนได้
       “ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง เราต้องมีกลยุทธ์ในการทำกำไร ปีนี้เป็นปีทองมันจะมีโอกาสเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในรอบ5 ปี ขณะที่ทุกคนกำลังวิตกจริตกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่เรามีโอกาสทำกำไรได้มาก เพราะเมื่อหุ้นร่วงหนักทุกคนกำลังกลัว แล้วคุณจะพลิกวิกฤตนี้ให้เป็นโอกาสได้ยังไง เราต้องเป็นคน 5% ไม่ใช่คน 95% คน 95% จะมองเห็นแต่วิกฤตเยอะแยะไปหมด แต่คน 5% เท่านั้นในตลาดหุ้นที่สามารถทำกำไรได้ คือต้องมองหาโอกาสในวิกฤตนี้ให้เจอ แล้วคุณจะเป็นผู้สร้างความมั่งคั่งคนใหม่
       ข้อจำกัดของคนเล่นหุ้นคือ ความโลภ คนเราเล่นหุ้นก็ต้องอยากรวย เมื่ออยากรวยจึงต้องรู้ว่าทำกำไรอย่างไรให้ฉลาดที่สุด คือได้ผลตอบแทนสูงที่สุด ความเสี่ยงต่ำที่สุด นั่นแหละคือคีย์ของตลาดหุ้น ดังนั้นจึงต้องบริหารความเสี่ยงเพื่อให้ขาดทุนน้อยที่สุด
      
       หุ้นไอทีทำเงิน
       ที่ผ่านมามีช่วงหนึ่งที่คนแห่ซื้อทองอย่างหนัก นักลงทุนหวังเก็งกำไรจากทองคำ แต่จริงๆ แล้ว หุ้นที่คนนิยมเล่น ไม่จำเป็นต้องทำเงินเสมอไป เธอจึงแนะนำหุ้นที่น่าสนใจในตลาดอเมริกาหลาย Sectorและที่น่าจับตามองคือกลุ่มไอที เทคโนโลยี เนื่องจากโลกปัจจุบันอยู่ในยุคข้อมูลข่าวสารนั่นเอง
       “พอมี iPadออกมา แสดงว่าหุ้นของมันอาจมีการเปลี่ยนแปลงบ้าง เราก็มีโอกาสทำกำไรได้แล้ว แต่หุ้นไอทีไม่ได้มีเพียงตัวเดียว ถ้าคิดในปีหนึ่งเขาผลิตสินค้าใหม่ 1ตัวต่อบริษัท มันจึงทำกำไรได้เยอะมากและง่ายที่สุดด้วย
       หุ้นกลุ่มไหนได้ผลตอบแทนสูง นักเล่นหุ้นก็แย่งกันลงทุน เมื่อหุ้นร่วงจึงไม่ต่างอะไรกับ แมลงเม่าบินเข้ากองไฟซึ่งยุ้ยให้ข้อคิดตรงนี้ว่า เราต้องใช้จิตวิทยาในการลงทุน ลงทุนในสิ่งที่ต่างจากคนอื่นทำ มองและคิดหลายชั้นในหตุการณ์ที่เจอว่าเราจะทำกำไรจากเหตุการณ์นั้นได้อย่างไร จะลงทุนกลุ่มไหนก็ต้องอินเทรนด์ตามเหตุการณ์ปัจจุบันด้วย ตลาดเปลี่ยน โลกเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนให้ทันโลก
       “มีคนเคยบอกว่าตลาดหุ้นไม่เคยเปลี่ยน แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือนักลงทุน กับราคาทุนที่เปลี่ยนแปลงไป และตลาดหุ้นจะอยู่กับเราเสมอ เพราฉะนั้นคนที่ลงทุนในตลาดหุ้น สามารถหาเงินได้ตลอดทั้งชีวิต เพราะตลาดหุ้นมีทุกวัน และมีไปตลอดด้วย ตลาดหุ้นไม่มีเอาต์มีแต่อินเทรนด์ตลอด (หัวเราะ)

(ที่มา : http://www.manager.co.th/daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000156274)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น